ทีทีบี จัดทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับแนวหน้าในงานสัมมนา “ttb investment outlook 2025” เจาะแนวโน้มเศรษฐกิจ สร้างโอกาสการลงทุน ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายทางการเงิน

21
0
Share:

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จัดเต็มทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากทีทีบีพร้อมพันธมิตร เปิดฟลอร์สัมมนา “ttb investment outlook 2025” วิเคราะห์เจาะลึกแนวโน้มเศรษฐกิจ พร้อมเปิดโอกาสการลงทุน ด้วยโซลูชันเด่นที่ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายทางการเงิน เพื่อให้นักลงทุนนำมาปรับพอร์ตการลงทุน นำไปสู่ชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้และอนาคต

 

 

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารการลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ปี 2024 เป็นอีกปีหนึ่งที่ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นได้ดีตามที่ ttb Investment Office ได้ให้มุมมองไว้ในงานสัมมนาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 จากการที่เงินเฟ้อในประเทศหลักชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกลางที่สำคัญโดยเฉพาะ Fed เริ่มกลับมาลดดอกเบี้ย ส่งผลให้คำว่า Recession นั้นหายไปจากตลาดพร้อมกับการเติบโตของผลกำไรบริษัทอย่างแข็งแกร่ง จนนำไปสู่การปรับขึ้นของตลาดหุ้นโลกดังที่กล่าว นอกจากนี้ กองทุน Highlight ประจำ 4 ธีมการลงทุนของ ttb ไม่ว่าจะเป็น Market Normalization, Next Stage of Gen AI, Economic Recovery และ Yield Capture ต่างให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจ สะท้อนถึงมุมมองการลงทุนของ ttb Investment Office ที่ถูกต้อง สำหรับปี 2025 นับว่าเป็นการเปิดประตูสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการลงทุนเพราะโลกของเราจะเผชิญกับ “เสาหลักใหม่ทั้ง 5” อันได้แก่ 1) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่านใหม่ 2) สงครามการค้าครั้งใหม่ 3) การลดภาษีนิติบุคคลครั้งใหม่ 4) วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงครั้งใหม่ และ 5) เศรษฐกิจขยายตัวครั้งใหม่ โดยผลลัพธ์ของเสาหลักใหม่ทั้ง 5 นำไปสู่การคาดการณ์ของ ttb Investment Office ว่าตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นำโดยตลาดหุ้นฝั่ง Developed Market แต่ในระหว่างทางจะเคลื่อนไหวผันผวนมากกว่าปีก่อน ดังนั้น การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation) จึงเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับความผันผวนดังกล่าว พร้อมทั้งสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว โดย ttb Investment Office นำเสนอสองโซลูชันการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน ได้แก่ 1) กองทุน ES-ULTIMATE GA Series สำหรับผู้ลงทุนที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุน รวมถึงไม่มีเวลาติดตามตลาดหุ้นมากนัก และ 2) ttb Model Portfolio สำหรับผู้ลงทุนที่คุ้นเคยกับการลงทุน รวมทั้งต้องการลงทุนตามมุมมองของ ttb Investment Office

นายวีรวัฒน์ คิรินทร์รัตนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนอมุนดิ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กองทุน ES-ULTIMATE GA Series มีความแตกต่างจากกองทุนอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดโดยมีความโดดเด่นใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) Transparency มีความโปร่งใสในการจัดพอร์ต สามารถมองเห็นการลงทุนว่าในแต่ละช่วงเวลามีกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง (Look-Through Portfolio) 2) Diversification มีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะช่วยลดและควบคุมความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้เป็นอย่างดี 3) Target Return มีการบริหารจัดการเพื่อมุ่งหวังโอกาสได้รับผลตอบแทนตาม Target Return ที่คาดการณ์ไว้ โดยมีความยืดหยุ่นในการลงทุนและเน้นลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ โดยกองทุน ES-ULTIMATE GA 1-3 นี้ นับเป็นอีกเครื่องมือการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่อาจไม่ค่อยมีเวลาในการติดตามสภาวะตลาดท่ามกลางความผันผวนต่างๆ ที่เกิดขึ้น นักลงทุนทุกท่านจึงสามารถเลือกลงทุนกองทุนนี้ในรูปแบบ One Stop Solution ได้

สหรัฐฯ ผู้ชนะที่แท้จริงภายใต้ยุคใหม่
นายอภิวัฒน์ น้าประทานสุข ผู้บริหารกลยุทธ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนฝั่ง Developed Market (DM) นั้น เรายังเน้นการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าตลาดพันธบัตร เพราะตลาดหุ้นฝั่ง DM ส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อได้ดีในปี 2025 นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเราคาดการณ์ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีที่สุดในฝั่ง DM หรือเป็น “ผู้ชนะที่แท้จริง” นั่นเอง เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะตอบสนองเชิงบวกต่อเสาหลักใหม่ทั้ง 5 ได้เป็นอย่างดี การที่ทรัมป์ได้กลับมาเป็นผู้นำและครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา ย่อมนำไปสู่การผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ที่สนับสนุนการทำธุรกิจของบริษัทอย่างไม่ยากเย็นนัก สงครามการค้าแม้จะกลับมาอีกครั้งแต่สหรัฐฯ จะได้รับผลทางลบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ที่ถูกขึ้นภาษีนำเข้า และผลทางลบดังกล่าวมีโอกาสถูกหักล้างด้วยนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลซึ่งบริษัทในสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ด้าน Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำจากความพยายามของทรัมป์ที่จะลดราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลง รวมทั้งค่าเช่าในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงเช่นกัน ท้ายที่สุด เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับมาขยายตัวได้ดี ไม่มีถดถอย นำไปสู่การเติบโตของผลกำไรที่ดีขึ้นพร้อมกับ Valuation ในมิติของ Forward P/E ที่ ไม่แพงมากนัก ดึงดูดให้มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าต่อไป อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยตรง เพราะไม่ใช่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะปรับตัวขึ้นได้ดี เรามองว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น Information Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary รวมทั้งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเงิน จะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ จากการเติบโตของ AI ที่ยังคงอยู่ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังขยายตัวได้ดี จึงแนะนำสองกองทุนพระเอกสำหรับฝั่ง DM คือ ES-USBLUECHIP และ KT-FINANCE-A ซึ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวนั่นเอง

นายชัชพล สีวลีพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มการเงินสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นได้ ไม่น้อยไปกว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ซึ่งหุ้นกลุ่มการเงิน ไม่ได้จำกัดการลงทุนแค่หุ้นกลุ่มธนาคาร (Bank) เท่านั้น โดยหุ้นกลุ่มการเงินมีหลากหลายประเภทธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน, กลุ่มธุรกิจตลาดทุน (Capital Markets), บริษัทชำระเงินบัตรเครดิต เป็นต้น ซึ่งหุ้นกลุ่มการเงินมักได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อ และยังได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์หลังชนะการเลือกตั้ง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดภาษีนิติบุคคล รวมถึงปัจจุบันหุ้นกลุ่มการเงิน ก็ยังอยู่ในระดับราคา (Valuation) ที่น่าสนใจ และไม่แพงเมื่อเทียบกับอดีตอีกด้วย โดยกองทุน KT-FINANCE-A จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) (กองทุนหลัก) ที่มีนโยบายที่จะสร้างผลตอบแทนบนเงินลงทุนในระยะยาว จากการลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภค และภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก

ระดับความเสี่ยง KT-FINANCE-A : 7 (เสี่ยงสูง)
“ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน”
“กองทุนนี้มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุน หรือ จะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน / หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้”

โอกาสการลงทุนในเอเชีย ภายใต้ความท้าทายในยุคทรัมป์ 2.0
นายภูริพัฒน์ ละเอียดธนะกิจ นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า นับเป็นความท้าทายสำหรับการลงทุนในเอเชียของปี 2025 จากปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งนโยบายขึ้นภาษีการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการตอบโต้การขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ จากรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนนี้มาพร้อมกับโอกาสในการลงทุนของตลาดหุ้นในเอเชีย โดยหากพิจารณาจากนโยบายการขึ้นภาษีการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 นี้ การขึ้นภาษีการค้าอาจไม่จำกัดแต่เพียงกับจีนเหมือนในสมัยแรกเท่านั้น ส่งผลให้ประเทศที่เน้นการส่งออกจะเผชิญกับความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีการค้ารอบใหม่มากกว่า ซึ่งเศรษฐกิจอินเดียที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีการค้าที่จำกัด อีกทั้งยังมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นอินเดียจึงมีความน่าสนใจอย่างน้อยในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนครึ่งปีหลังจะต้องติดตามพัฒนาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ที่คาดว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเน้นไปที่การบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นฟูการเติบโตในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เพื่อชดเชยภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีการค้า ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในหุ้นเอเชีย หรือหุ้นอาเซียนในช่วงครึ่งปีหลัง จากความชัดเจนเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ ด้านตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจในระยะยาวจากพื้นฐานการลงทุนที่แข็งแกร่ง แต่ในระยะสั้นอาจเผชิญความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูง อีกทั้งยังมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากอีกด้วย

นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ ES-INDAE สร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนจากประเทศอินเดียที่มีศักยภาพเติบโตสูง คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom Up โดยดูปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก และบริหารโดยทีมงาน Local-Based เน้นลงทุนในหุ้นที่มี Market Cap ได้ทุกขนาดและสามารถ OW ในหุ้น Small to Mid-Cap ได้ 15-25% มีการกระจายการลงทุนที่ดี Sector Limit +/- 7.5% เมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด มีกระบวนการลงทุนที่เป็นระบบและแข็งแกร่ง ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างพอร์ตการลงทุนที่เติบโตอย่างยั่งยืน

ก้าวข้ามคลื่นความผันผวนไปกับหุ้นไทยคุณภาพดี
นายกัมปนาท โอมฤก นักกลยุทธ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนในปี 2025 ส่วนหนึ่งมาจากการเข้ามารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวโน้มจะใช้นโยบายด้านภาษีการค้า และจะส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลก รวมไปถึงประเทศไทยด้วย ขณะที่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2025 การใช้จ่ายภาครัฐฯ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตเพียงบางภาคส่วนเท่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มภาคการท่องเที่ยว และภาคการบริการ ขณะที่กลุ่มภาคการผลิต โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ยังอยู่ในโซนหดตัว ด้านเงินเฟ้อไทยคงไม่ใช่ประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) กลับกัน BOT คงจะมุ่งเน้นการแก้ปัญหา ด้านคุณภาพหนี้ให้กลับมาดีขึ้น เนื่องจาก คนไทยโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ยังคงมีปัญหา NPL ที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น โอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะขึ้นอยู่กับผลของนโยบายช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าว ในแง่ของตลาดหุ้นไทย ตอนนี้มองว่า นักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นกับตลาดหุ้นไทย เรื่องนี้คงต้องรอให้ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. เร่งแก้ไขปัญหา อีกส่วนหนึ่งที่หุ้นไทยยังขาดความน่าสนใจคือ Growth หรือ อัตราการเติบโต โดยเฉพาะในแง่ของกำไร ซึ่งประเด็นนี้ต้องติดตามกันต่อไปว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียนจะสามารถสร้างอัตราการเติบโตของกำไร (Earnings Growth) จนดึงดูดให้ผู้ลงทุนกลับมาสนใจได้หรือไม่ ดังนั้น เราจึงมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่ค่อนข้างเป็นกลาง แต่หากเรามามองที่หุ้นกลุ่มปันผล หรือดัชนี SETHD จะพบว่าค่อนข้างน่าสนใจ โดยเฉพาะในยามที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง ดัชนี SETHD มักให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนี SET และ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SETHD ก็ยังมีความน่าสนใจมากกว่า ดังนั้น จึงแนะนำการลงทุนในหุ้นไทย ที่มีการจ่ายปันผลสูงมากกว่าการลงทุนในหุ้นไทยทั่วไป

สำหรับผู้สนใจด้านการลงทุน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ทีทีบี ทุกสาขา หรือ ttb investment line โทร.1428 กด #4 ทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:30 น. (ยกเว้นวันหยุดธนาคาร)

Share: