9 เคล็ดลับให้ธุรกิจพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง และเติบโตอย่างยั่งยืน

1128
0
Share:

ในยุคที่อุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งด้วยนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลง และแนวคิด ESG ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีความตระหนัก ทั้งในเรื่องเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจในยุคดิจิทัล พร้อมก้าวผ่านความท้าทาย มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน finbiz by ttb ได้รวบรวม 9 เคล็ดลับ โดยได้ถอดจากกรณีศึกษา อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ จากหลักสูตร LEAN for Sustainable Growth by ttb รุ่นที่ 18 ซึ่งสามารถปรับใช้ได้ทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรม ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง

 

 

1. ต้องรู้ทันเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป
ปัจจุบันเทรนด์โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการเข้ามาของนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภค ดังนั้น การปรับตัวจะต้องเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ทั้งนวัตกรรมการผลิต ไปจนถึงเทคนิคและโมเดลทางการตลาด อย่างในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่กำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาป (ICE: Internal Combustion Engine) เป็นยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) ซึ่งกระทบทั้งอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้กระทั่งวิธีการขาย ยกตัวอย่าง ในขณะที่ค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่รวมกันอยู่ที่งาน Bangkok International Motor Show ปี 2023 แต่มีค่ายรถยนต์แห่งหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วม แต่กลับสามารถทำยอดจองภายในวันเดียวได้ใกล้เคียงกับยอดจองของบางค่ายรถที่เข้าร่วมตลอดทั้งงาน นั่นเพราะการใช้วิธีทางออนไลน์ โซเชียลมีเดีย รวมถึงการเปลี่ยนลูกค้าเป็น Marketer

2. การปรับตัวเป็นสิ่งจำเป็น เมื่ออุตสาหกรรมถูกพลิกโฉม
จากสถิติในช่วงปี 2022 – 2023 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความต้องการทำให้โลกอยู่อย่างยั่งยืน ทำให้การรักษาทรัพยากร และใช้พลังงานทางเลือกในอุตสาหกรรมต่างๆ เข้ามามีบทบาทในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเข้ามาของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นเมกะเทรนด์ที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ทั้งโลกอย่างแท้จริง ทั้งด้านการผลิต การตลาด และคาดว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้า รถยนต์สันดาป จะค่อยๆ โดนกลืนในตลาด สวนทางกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ทะยานขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ จนกระทั่งปี 2030 จะเกิดจุดตัดที่เห็นได้ชัด และอุตสาหกรรมยานยนต์จะเปลี่ยนโฉมไปจากนี้แน่นอน ดังนั้น การวางแผนพัฒนาธุรกิจให้เข้ากับระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลง เป็นโจทย์ที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง

3. ข้อได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรฐานควบคุมคุณภาพ ส่งให้ไทยมีโอกาสในระดับโลก
ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ ประกอบกับความมีประสบการณ์ในภาคอุตสาหกรรม ทำให้ไทยมีมาตรฐานในการควบคุมคุณภาพ ที่พร้อมจะยกระดับขีดความสามารถของธุรกิจให้สูงขึ้น อย่างในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในปีที่ผ่านมาไทยมีส่วนแบ่งตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนสูงสุดที่ 58.3% รองลงมาคืออินโดนีเซีย 19.50% และเวียดนาม 15.80% ถือว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมากสำหรับภูมิภาคนี้ และไทยยังมีข้อได้เปรียบโดยเป็นประเทศแรกๆ ในอาเซียน ที่รัฐบาลมีนโยบายและ Road Map ที่ชัดเจนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสัดส่วน 30% ของการผลิตรถยนต์ในประเทศทั้งหมดภายในปี 2030 ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสจะขยับขึ้นไปเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก

4. จับกระแสระบบนิเวศในอุตสาหกรรมได้เร็ว สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ
เมื่ออุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลง ระบบนิเวศต่างๆ ที่มารองรับจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ซึ่งหากผู้ประกอบการจับกระแสได้เร็ว และคอยติดตามข่าวสารการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน จะสร้างความได้เปรียบอย่างมาก อย่างในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นยานยนต์ไฟฟ้า การเปลี่ยนแปลงหลักคือ นวัตกรรมยานยนต์ แต่ระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีการชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้กับยานยนต์ก็จะต้องขยับตามกันไปและต้องเพียงพอต่อการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต รวมทั้งมีการสนับสนุนจาก BOI ในการสร้างสถานีบริการชาร์จไฟฟ้า กรณีที่มีหัวจ่ายประจุไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 40 หัวจ่าย เป็นประเภท DC Quick Charge ไม่น้อยกว่า 25 % จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี เป็นต้น และยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพื่อกระตุ้นระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า สร้างโอกาสแข่งขันให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ในไทยได้

5. สร้างโอกาสจากการทำลาย Waste Management ให้ครบ จบทั้งระบบนิเวศ
การสร้างระบบนิเวศให้ครบจริงๆ จะต้องรวมถึงการทำลายด้วย ดังนั้น การจัดการกับขยะต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การทำลายที่สอดคล้องกับแนวคิด ESG เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก หากผู้ประกอบการสามารถทำลายเศษซากจากอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี มีนวัตกรรมการทำลายเพื่อความยั่งยืนจะยิ่งได้เปรียบ Waste Management ที่มีประสิทธิภาพ จะสร้างโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ได้ด้วย อย่างในธุรกิจยานยนต์ ไม่น่าเชื่อว่าแบตเตอรี่ที่เสื่อมแล้ว ปัจจุบันมีประเทศเดียวในโลก คือเบลเยี่ยมที่สามารถแยกชิ้นส่วนและทำลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ภาครัฐจะต้องหามาตรการควบคุมขยะที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามและจัดการได้

6. นวัตกรรมต้องพัฒนาอย่างรวดเร็ว รอบคอบ และต้องคำนึงถึงความยั่งยืน
ในยุคที่เทคโนโลยีทุกๆ ด้าน มีการเปลี่ยนแปลง และต้องคำนึงถึงความยั่งยืนของโลกให้มากขึ้น นวัตกรรม หรือ Innovation จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การพยายามสร้างและปรับปรุงในการทำนวัตกรรม เมื่อเริ่มต้นอาจยากและผิดพลาดบ้าง แต่ประสบการณ์จากการค้นคว้า การทดลอง ปรับปรุงและพัฒนาจะทำให้เกิดนวัตกรรมได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในยุคเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องเร่งนำนวัตกรรมมารองรับและสร้างความยั่งยืนให้กับโลก โดยต้องทำอย่างรอบคอบ และรวดเร็วขึ้น เพื่อตอบสนองให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก

7. “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้อุตสาหกรรมแข่งขันได้
การจะนำพาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนได้จำเป็นต้องมีแนวคิด “ESG” ซึ่งมาจาก Environment, Social และ Governance เข้ามาเกี่ยวข้อง และ ESG ได้กลายเป็นกติกาใหม่ในการทำธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบันผู้ประกอบการต้องเร่งทำ ESG เพราะด้วยมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของ EU ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียวมากขึ้นภายใต้แนวคิด ESG เช่น การใช้ชิ้นส่วนวัสดุรีไซเคิลในการผลิต เพื่อตอบโจทย์การค้าโลกที่มุ่งสู่การลดก๊าซคาร์บอน ความท้าทายคือ ไม่ใช่การปรับตัวแค่บริษัทเดียว แต่ต้องทำให้ทั้ง Value Chain อยู่ในแนวคิด ESG และต้องเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ หากไม่ปรับตัว สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็น “ต้นทุน” เป็น “ราคา” ที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายในอนาคต

8. ความยั่งยืนที่มาจากการ “บริหารคน” สร้างระบบนิเวศแบบ Joyful Organization และกระตุ้นให้บุคคลากรมีทัศนคติเชิงบวก
ทุกวันนี้ การบริหารคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผู้บริหารต้องใช้ “การบริหารคน” เพื่อเปลี่ยนเกม และสร้างอิมแพ็คให้กับธุรกิจ โดยสร้างระบบนิเวศในการทำงานเป็น Joyful Organization ดึงดูดให้คนอยากมาทำงานด้วย และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่นำไปสู่ความยั่งยืน ตลาดแรงงานที่มีคนในหลายๆ Generation ผู้ประกอบการต้องจะหลอมรวมทุกคนให้เข้ากัน และมีความสุขในการทำงานร่วมกัน บนพื้นฐานความแตกต่างและความหลากหลาย การพัฒนาด้าน “ทัศนคติ” ของบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อพนักงานมีความสุขและมีความเชื่อว่าทุกอย่างปรับปรุงพัฒนาได้โดยตลอด จะนำไปสู่การสร้างบุคคลากรทักษะสูง และทำให้อุตสาหกรรมพัฒนาสู่การเป็น Smart Factory ได้โดยง่าย

9. LEAN ยังคงเป็นหัวใจหลักที่เพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขัน
LEAN ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับธุรกิจ แต่หัวใจหลัก คือการเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขัน LEAN สามารถพัฒนาวิธีคิดอย่างมีประสิทธิภาพให้แตกต่างจากคู่แข่ง ธุรกิจจึงมีแรงดึงดูดมากขึ้น หรือ เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้ แต่เหนืออื่นใดคือ ธุรกิจต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรม ต้องพยายามรักษาสมดุลธุรกิจให้ยังเติบโตได้ดี พร้อมกับการแสวงหาโอกาสธุรกิจใหม่ๆ ซึ่ง LEAN จะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแรง เพื่อให้ธุรกิจสามารถรักษาสมดุลไว้ได้

ด้วยข้อได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ แรงงานทักษะสูง และการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยจึงมีโอกาสที่จะยกระดับอุตสาหกรรมให้มีความก้าวหน้าขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องบริหารงานด้วยทัศนคติที่ดี พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และให้ความสำคัญกับบุคลากร นวัตกรรม และระบบนิเวศของอุตสาหกรรม เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในยุคที่ทุกการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ติดตามสาระความรู้ดีๆ สำหรับธุรกิจ ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/finbiz

ที่มา : หลักสูตร LEAN for Sustainable Growth by ttb รุ่นที่ 18

Share: