ภูมิทัศน์ด้านรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก

145
0
Share:

ตลาดยานยนต์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความซับซ้อนของ VUCA (ความผันผวน ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และความคลุมเครือ) ไม่ต่างจากตลาดอื่น ๆ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะให้การสนับสนุน แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกลับประสบปัญหาชะลอตัว เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องสงครามราคาและประสบการณ์ด้านบำรุงรักษา บทความนี้ อ้างอิงจากรายงาน  Automotive Industry Trends ของดีลอยท์ โดยจะนำเสนอบริบทและศักยภาพที่ซ่อนเร้นของผู้ผลิต (OEMs) และห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

บริบท: การชะลอตัวของรถยนต์ไฟฟ้า – ความท้าทายและการรับมือ

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยชะลอตัวลง ได้แก่ ความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ หนี้ครัวเรือนที่สูง และ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ จำเป็นต้องเร่งอุณหภูมิของสงครามราคา ทั้งการปรับราคาของรถยนต์รุ่นที่ทำตลาดอยู่ รวมถึงเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่ราคาเข้าถึงได้มากขึ้นมาร่วมแข่งขัน ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมไปจนถึงตลาดรถยนต์มือสอง

ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเยอรมนีและสหรัฐอเมริกามีการปรับลดการลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้า ลดการผลิต และ ลดราคาเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยได้มุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฮบริดเพื่อเป็นโซลูชันการเปลี่ยนผ่านระหว่างรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) เช่น รถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบขยายระยะทางในการขับขี่ (Extended Range Electric Vehicles: EREV) ทั้งนี้ จากรายงาน 2025 Global Automotive Consumer Study ของดีลอยท์ พบว่าความต้องการของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในและรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2024 และปี 2025 แต่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ยังคงทรงตัว

บทความนี้นำเสนอศักยภาพ 4 ประการหลักที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิมกำลังพัฒนา พร้อมพิจารณาว่านวัตกรรมเหล่านี้จะก้าวข้ามความท้าทายดังกล่าวอย่างไร ดังต่อไปนี้

  1. เทคโนโลยีแบตเตอรี่: กุญแจสำคัญสู่ความสามารถในการเข้าถึงของผู้บริโภค

แบตเตอรี่นับเป็นต้นทุนที่สำคัญของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่กลับถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนของรถไฟฟ้าที่สำคัญที่สุด โดยจากรายงาน 2025 Global Automotive Consumer Study ของดีลอยท์ พบว่า ความกังวลหลักของผู้บริโภคเมื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ ระยะทางขับขี่ และ ระยะเวลาในการชาร์จ

ในบริบทนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบตเตอรี่มีความสำคัญ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate: LFP) กำลังได้รับความนิยมเนื่องจากมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ อายุการใช้งานที่ยาวนาน และ ส่งผลสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า โดยปัจจุบันแบตเตอรี่ LFP มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่นิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ (Nickel Manganese Cobalt: NMC) ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 60 โดยแบตเตอรี่ LFP มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (Compound Annual Growth Rate: CAGR) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 15 ตั้งแต่ปี 2560 โดยผู้ผลิตจากประเทศจีนครองตลาดแบตเตอรี่ LFP ในขณะที่ผู้ผลิตยานยนต์จากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเกาหลีนั้นก็มีการนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่ LFP มาใช้เพื่อลดต้นทุนและคงความสามารถแข่งขันในตลาดเช่นกัน

นอกจากนี้ แบตเตอรี่ทางเลือกใหม่ๆ เช่น แบตเตอรี่โซเดียม-ไอออน (Na-ion) จากแร่เกลือหิน ยิ่งทำให้ราคาจับต้องได้ไปอีก เนื่องจากโซเดียมที่มีอยู่มากและมีต้นทุนต่ำกว่าแบตเตอรี่ LFP ทั้งนี้ คาดว่าแบตเตอรี่โซเดียม-ไอออน จะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นประมาณร้อยละ 13 ระหว่างปี 2022 และปี 2028 ส่งผลให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้ารุ่นเริ่มต้นในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภคในอนาคต

  1. นวัตกรรมการชาร์จ

ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการชาร์จกำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญในการตอบสนองต่อความกังวลของผู้บริโภค ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสะดวกสบายและระยะทาง การชาร์จแบบไร้สาย ซึ่งใช้การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยี่ที่กำลังมาแรงที่จะเป็นทางเลือกสำหรับระบบการชาร์จเสียบสายแบบดั้งเดิม โดยนวัตกรรมนี้นำเสนอแนวทางหลักสองแนวทาง ได้แก่

การชาร์จแบบสถิต (Static Charging) ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จได้ในขณะที่จอดอยู่บนแท่นชาร์จที่ฝังอยู่ในพื้นดิน โดยผู้ขับขี่สามารถจอดยานพาหนะและเดินไปยังบริเวณอื่นได้ ขณะที่ระบบเริ่มการชาร์จโดยอัตโนมัติ

การชาร์จแบบไดนามิก (Dynamic Charging) ก้าวไปอีกขั้นของนวัตกรรม ด้วยการทำให้ยานพาหนะสามารถชาร์จได้ระหว่างขับอยู่บนถนนที่มีคอยล์ชาร์จฝังอยู่ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ใช้การถ่ายโอนพลังงานเหนี่ยวนำแบบเรโซแนนซ์ เพื่อส่งพลังงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยานพาหนะเคลื่อนที่ไปตามถนนที่มีระบบไฟฟ้า

  1. ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

จากปริมาณการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแรงมากขึ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายมีการร่วมมือกันเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน (End-Of-Life: EOL) โดยใช้แบตเตอรี่ดังกล่าวสำหรับการใช้งานในครั้งที่สอง หรือการรีไซเคิลเพื่อสกัดวัตถุดิบที่สำคัญออกมาใช้ใหม่

แนวทางนี้ช่วยให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิมสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ มีสิทธิ์ได้รับเครดิตภาษี และลดต้นทุนด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิล ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลง

ถึงแม้ว่าประเทศจีนและสหภาพยุโรปจะเป็นผู้นำในความพยายามด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ แต่ห่วงโซ่มูลค่าแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานทั่วโลกยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อไป รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีความรับผิดชอบในการบริหารจัดการที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  1. การปลดล็อกโอกาสการเติบโตด้วยการเชื่อมต่อ

การเชื่อมต่อช่วยให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานต่าง ๆ และสร้างประสบการณ์ล้ำสมัยให้กับลูกค้า ดังต่อไปนี้

ฟังก์ชันตามความต้องการ (Function of Demand: FoD): บริการ FoD ช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถนำเสนอการใช้งานบนซอฟต์แวร์ที่ลูกค้าสามารถเปิดใช้งานได้ตามต้องการ ส่งผลให้เกิดการสร้างประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้เฉพาะบุคคล ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจำนวนมากมองว่า FoD เป็นแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รวมถึงการทดลองใช้เพื่อทดสอบคุณสมบัติเสริมยังสามารถดึงดูดใจผู้บริโภคได้อย่างมาก

ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver Assistance Systems: ADAS): ระบบ ADAS ได้ปรับเปลี่ยนมาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะ พร้อมเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ โดยตลาด ADAS ซึ่งขับเคลื่อนโดยข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและข้อกังวลด้านความปลอดภัยนั้น คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นที่ร้อยละ 16.7 ระหว่างปี 2022 และปี 2027

ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Gen AI): Gen AI พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงภาคส่วนยานยนต์ ด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพของยานพาหนะ และการพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ทั้งนี้ คาดว่าตลาด Gen AI ในยานยนต์จะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นที่ร้อยละ 24 ระหว่างปี 2022 และปี 2032

เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังช่วยให้ผู้ผลิตยานยนต์วางตำแหน่งตัวเองเพื่อความสำเร็จในระยะยาวในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอีกด้วย

บทสรุป: โรดแมปเชิงกลยุทธ์สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย

ท่ามกลางความท้าทายในปัจจุบัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโตเป็นอย่างมาก ด้วยการแก้ไขข้อกังวลของผู้บริโภคในด้านราคา โครงสร้างพื้นฐาน และความยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถปลดล๊อกโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ทั้งนี้ การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ โซลูชันการชาร์จ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการรีไซเคิล และการเชื่อมต่อ จะกลายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโมเมนตัมนี้

ในขณะที่ประเทศไทยยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ผู้ผลิตยานยนต์ และนักลงทุนบุคคล จะเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการปฏิวัติยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้หนทางข้างหน้ายังต้องอาศัยความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว แต่นับเป็นสัญญาเชิงบวกสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไป

 

Share: