ก้าวสู่ ‘ความปกติใหม่’ ของการสร้างนวัตกรรมต่อเนื่อง ด้วยการใช้ AI เสริมการทำงานด้านต่างๆ

55
0
Share:

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก้าวข้ามจากจินตนาการในนิยายมาสู่ความเป็นจริงในชีวิตประจำวันและเข้ามามีบทบาททุกหนแห่งในชั่วข้ามคืน และนับเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่มีอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการประเมินพบว่าโปรเจกต์ AI มากกว่า 80% ต้องเผชิญกับความล้มเหลว นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความไม่สอดคล้องกัน ระหว่างแนวคิดของผู้คนและองค์กรเกี่ยวกับ AI และ ML กับแนวทางที่ผู้คนและองค์กรเหล่านั้นใช้ในการก้าวสู่ยุคแห่งนวัตกรรม หากเป็นเช่นนั้น องค์กรจะหลีกเลี่ยงความล้มเหลวและลดความเสี่ยงในการทำโปรเจกต์ AI ได้อย่างไร

 

 

สิ่งที่ควรทำก่อนเริ่มโปรเจกต์ AI ที่ประสบความสำเร็จ
• ทำความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของ AI
• วางแนวทางการใช้งาน AI ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านเป้าหมายของธุรกิจ
• ศึกษาการใช้ AI จากธุรกิจอื่นๆ
• รวบรวมทีม AI จากบุคลากรที่อยู่ในสายงานต่างๆ ไว้ด้วยกัน
• ประเมินความพร้อมด้าน AI ภายในองค์กร
• พัฒนาวัฒนธรรมองค์กรด้านนวัตกรรม

ทำความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของ AI

เรามักเข้าใจกันว่า Generative AI (gen AI) เก่งมาก รอบรู้ไปทุกเรื่อง และเข้าใจความหมายของ คอนเทนต์ที่ตัวเองสร้างขึ้น แต่ในความจริงแล้วแอปพลิเคชัน gen AI ไม่ได้เข้าใจคอนเทนต์ที่สร้างขึ้นมา และไม่ได้ “ฉลาด” อย่างที่เข้าใจกัน เพราะเป็นเพียงแอปเติมข้อความอัตโนมัติ (autocomplete apps) ที่มีความสามารถสูงในการจดจำและเลียนแบบรูปแบบภาษา รวมถึงการเชื่อมโยงคำต่างๆ โดยอาศัยการประมวลผลจากข้อมูลที่มี ซึ่งล้วนต้องพึ่งพาการฝึกฝนจากคน

ด้วยความสามารถที่ดูน่าเชื่อถือ จึงง่ายที่จะเชื่อว่า gen AI มีความสามารถในการทำงานที่ซับซ้อนและงานที่ล้ำหน้าต่างๆ ได้ ความเชื่อเช่นนี้อาจนำไปสู่ความล้มเหลวได้ หากงานที่ gen AI ได้รับมอบหมายนั้นเกินขีดความสามารถของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน

ดังนั้น ก่อนที่เริ่มต้นโปรเจกต์พัฒนา gen AI สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือต้องเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน

จุดแข็งและจุดอ่อนของ gen AI

สิ่งที่ gen AI ทำได้ดี:
• การประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล
• การวิเคราะห์ข้อมูล
• การจัดรูปแบบข้อความใหม่
• ทำงานที่ง่ายและต้องทำซ้ำๆ ได้โดยอัตโนมัติ
• การดึงและสรุปข้อมูล
• การจับคู่และระบุรูปแบบ
• การจำแนกข้อมูล
• ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการระดมความคิด

จุดอ่อนของ gen AI:
● ไม่สามารถคิดหรือให้เหตุผลได้จริง
● ไม่สามารถเข้าใจบริบทได้เองโดยไม่มีการระบุคำสั่งที่ชัดเจน
● ไม่สามารถทำงานที่มีความซับซ้อนได้
● ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้าง จึงมีแนวโน้มที่จะสร้างภาพหลอนหรือการตีความข้อมูลและให้ข้อมูลที่ผิดพลาด
● ไม่สามารถผลิตผลงานที่เป็นต้นฉบับได้
● ขาดความสามารถในการสร้างสรรค์และการคิดเชิงสร้างสรรค์ในทุกมิติ
● ไม่มีพื้นฐานความเข้าใจด้านจริยะธรรมและความเอื้ออาทร

ปัจจุบันแอปพลิเคชัน gen AI เป็นเหมือนเครื่องประมวลผลอัตโนมัติที่เหมาะกับการจัดการงานประจำ และงานที่ต้องทำซ้ำๆ ในปริมาณมากๆ ช่วยให้บุคลากรและทีมงานใช้เวลาและนำความกระตือรือร้นไปใช้จัดการงานที่ซับซ้อน งานสร้างสรรค์ และการพัฒนานวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วางแนวทางการใช้ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ

แม้ว่า AI จะได้รับความสนใจอย่างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานจริง และไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ องค์กรจึงต้องพิจารณานำ AI มาใช้ให้สอดคล้องอย่างแท้จริงกับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีอยู่

สุดท้ายแล้ว แอปพลิเคชัน AI ที่องค์กรพัฒนาขึ้นจะทำงานอยู่เบื้องหลัง เป็นองค์ประกอบที่แทบมองไม่เห็นในแอปพลิเคชัน บริการ และกระบวนการต่างๆ ผู้ใช้งานหรือลูกค้าจะไม่รับรู้ถึงการทำงานของ AI โดยตรง

สิ่งที่ลูกค้าสัมผัสได้คือแอปพลิเคชันที่ฉลาดขึ้น บริการที่ใช้งานง่ายขึ้น และกระบวนการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น องค์ประกอบต่างๆ ของ AI จะช่วยให้องค์กรประมวลข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญขององค์กรใส่เข้าไปในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นและสอดคล้องกันมากขึ้นในทุกด้านให้กับลูกค้า

องค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นใช้ AI ต้องจัดลำดับความสำคัญว่าจะนำ AI ไปใช้งาน ณ จุดใด จึงจะได้รับประโยชน์ในระยะเวลาอันใกล้ เช่น นำไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีม หรือปรับปรุงบริการและปรับบริการให้เหมาะกับลูกค้ารายบุคคล ทั้งที่เป็นลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าที่ห่างหายไปและกลับมาเป็นลูกค้าอีกครั้ง หลีกเลี่ยงการนำ AI ไปใช้กับกระบวนการหลักทางธุรกิจ จนกว่าจะมีความเข้าใจการทำงานของ AI และแน่ใจว่าข้อมูลที่องค์กรป้อนให้ AI มีความเพียงพอ

ศึกษาตัวอย่างการใช้ AI จากธุรกิจอื่นๆ

องค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรมกำลังใช้ AI อย่างสร้างสรรค์และเกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจสำหรับแนวทางการนำ AI ไปประยุกต์ใช้และทดลองในองค์กรของคุณ หลายกรณีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น
● ธุรกิจค้าปลีก ใช้ AI เพื่อสร้างระบบแนะนำสินค้าที่ตรงใจลูกค้าแต่ละรายเพื่อดึงลูกค้าเก่ากลับมา ช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงการจัดวางสินค้าให้ดึงดูดผู้ซื้อ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพด้านซัพพลายเชนของธุรกิจ
● องค์กรที่ให้การสนับสนุนด้านไอที นำ AI มาช่วยกระบวนการคัดแยกและจัดหมวดหมู่คำถามที่ลูกค้าส่งเข้ามา ระบุและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยอัตโนมัติ
● นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ใช้ AI เป็นผู้ช่วยในการเขียนโค้ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดงานที่ต้องทำซ้ำๆ ช่วยให้มีเวลาทุ่มเทกับงานที่มีมูลค่าสูงกว่า
● ผู้ผลิต เริ่มใช้ AI คาดการณ์ความผิดพลาดของเครื่องจักรและอุปกรณ์ และปรับตารางการผลิตให้เหมาะสม
● สถาบันการเงิน ใช้ AI ตรวจจับธุรกรรมฉ้อโกงและคาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้น
● องค์กรด้านสาธารณสุข ใช้ AI ช่วยออกแบบโมเลกุลยาใหม่ สร้างรายงานสุขภาพส่วนบุคคลและปรับปรุงกระบวนการวินิจฉัย
● อี-คอมเมิร์ซ ธุรกิจออนไลน์และมาร์เก็ตเพลสใช้ gen AI พัฒนาแชทบอทอัตโนมัติ สำหรับงานบริการลูกค้าและการขาย

จัดตั้งทีม AI จากบุคลากรข้ามสายงาน

การพัฒนาโปรเจกต์ AI จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความรู้ด้านต่างๆ จากทุกภาคส่วนขององค์กร ดังนี้
• วิทยาศาสตร์ข้อมูลและการวิเคราะห์
• ไอที/วิศวกรรม
• การพัฒนาแอปพลิเคชัน
• การจัดการข้อมูล
• กลยุทธ์ทางธุรกิจ
• การวิจัยผู้ใช้
• การตลาดและการสื่อสาร
• กฎหมาย/ข้อกำหนด
• ผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทีมที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา จะมีมุมมอง ประสบการณ์ และความคิดเห็นที่หลากหลายที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ศูนย์ความเป็นเลิศนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าการใช้ศักยภาพของ AI ในงานด้านต่างๆ นั้น จะสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร และมีความเป็นไปได้ในเชิงเทคนิค

ทีม AI ข้ามสายงานยังช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบุคลากรและทีมต่างๆ ที่ปกติแล้วอาจจะไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนแนวคิด ข้อมูลเชิงลึก และความเชี่ยวชาญได้ดียิ่งขึ้น

ประเมินความพร้อมด้าน AI ขององค์กร

การพัฒนาโปรเจกต์ gen AI จะไม่ได้ผล หากองค์กรยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ข้อมูล หรือโครงสร้างพื้นฐาน ทีม AI ที่ประกอบด้วยบุคลากรที่มาจากสายงานต่างๆ จะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าจะนำ AI เข้ามาใช้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขององค์กรได้มากน้อยเพียงใด เพราะแต่ละคนต่างมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับจุดแข็งและจุดอ่อนที่ชัดเจน เมื่อสามารถระบุจุดอ่อนที่ชัดแจนได้ องค์กรก็สามารถจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการพัฒนาและการฝึกฝน AI ได้อย่างเหมาะสม

พัฒนาวัฒนธรรมองค์กรในเชิงสร้างสรรค์สิ่งใหม่

ยุคของ AI เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น การเริ่มทดลองและนำไปใช้งานขององค์กร เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น การสร้างวัฒนธรรมเชิงนวัตกรรมในองค์กรจะช่วยให้องค์กรพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ AI จะนำมา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับวิธีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นไปในเชิงนวัตกรรมมากขึ้น และนี่คือสามแนวทางในการเริ่มต้น

หนึ่ง: ปลูกฝังแนวคิดแห่งการทดลอง
นวัตกรรมต้องอาศัยการทดลอง และนวัตกรรมต่อเนื่องต้องอาศัยการทดลองอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แม้ว่าการทดลองสิ่งใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะล้มเหลว แต่ความสำเร็จเพียงไม่กี่ครั้งก็อาจคุ้มค่ากับความพยายามทั้งหมด ยิ่งองค์กรสั่งสมความสำเร็จมากขึ้นเท่าไร ความคิดเชิงสร้างสรรค์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น และในระยะยาวการดำเนินการทดลองจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองอย่างต่อเนื่องในระยะเวลายาวนาน) อาจสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา แต่ก็มีแนวทางที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้เกิดการทดลองมากขึ้นภายในองค์กร โดย
• กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
• ส่งเสริมความใฝ่รู้
• ยอมรับความล้มเหลว
• วัดผลทุกสิ่ง
• สร้างแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลเป็นหลัก
• เป็นผู้นำโดยทำเป็นตัวอย่าง

สอง: ส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มระดับและขยายขอบเขตของนวัตกรรมในองค์กร วัฒนธรรมการทดลองจะเติบโตได้ดีเมื่อบุคลากรและทีมมีแรงจูงใจในการเป็นผู้เรียนรู้ เปิดรับสิ่งใหม่ และมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง โอกาสในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบและขนาด เช่น
• คลาสเรียนที่จัดโดยเพื่อนร่วมงานที่จัดอย่างสม่ำเสมอ
• แพลตฟอร์มไมโครเลิร์นนิ่งแบบมีค่าใช้จ่าย
• การโค้ชซึ่งกันและกัน และการจัดเซสชัน “lunch and learn”
• เวิร์คช็อปหรือบรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญจากนอกองค์กร

สาม: ลงทุนพัฒนาบุคลากร
การลงทุนพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ จะช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมเชิงนวัตกรรมในองค์กร เมื่อมีโอกาสควรส่งเสริมให้ทีมได้ทำสิ่งต่อไปนี้
• เข้าเรียนหลักสูตรเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
• เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนาออนไลน์ และการประชุมต่างๆ
• มีส่วนร่วมในโปรแกรมการฝึกอบรม
• เข้าร่วมโปรแกรมการให้คำปรึกษาอย่างเป็นทางการ
• เปิดโอกาสให้พัฒนาทักษะอื่นๆ

การลงทุนพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรในลักษณะนี้ จะช่วยส่งเสริมให้บุคลากรมีความก้าวหน้าในอาชีพ มีแรงบันดาลใจ มีส่วนร่วม และได้ค้นหาความสนใจใหม่ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อองค์กรโดยรวม

เมื่อองค์กรได้ทำสิ่งดังกล่าวข้างต้นแล้ว องค์กรก็จะพร้อมเริ่มพัฒนาพัฒนาแอปพลิเคชัน AI โปรเจกต์แรกได้อย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จ

บทความโดย: สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท

Share: