“กรมสรรพสามิต” เปิด 3 ต้นตอ “บุหรี่เถื่อน” ระบาดหนัก สส.ภูเก็ต พรรคประชาชน เตรียมตั้งกระทู้ถามสด ดันแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน
สรรพสามิต กางสถิติจับกุมบุหรี่เถื่อนปี 2567 กว่า 13,170 คดี ทำรัฐสูญรายได้มหาศาล เดินหน้าปราบปรามเข้มข้น วอนประชาชนร่วมแจ้งเบาะแส ด้าน สส. ภูเก็ต แฉเปิดขายแหล่งท่องเที่ยว สถานศึกษา คึกคัก ทำตัวเลขระบาดภูเก็ตพุ่ง อัด จนท.จับแต่ปลาซิว ปลาสร้อย ไม่สาวหาทุนใหญ่ จี้ “กรมศุลกากร” กวาดล้างเชิงรุก พร้อมเตรียมรวบรวมข้อมูลตั้งกระทู้ถามสดรัฐบาล
ว่าที่ร้อยตรี ยงยุทธ ภูมิประเทศ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต และรักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต กล่าวถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาบุหรี่เถื่อนที่เพิ่มมากขึ้นว่า ปริมาณบุหรี่เถื่อนในปัจจุบันมีแนวโน้มที่สูงขึ้น เป็นปัญหาใหญ่ที่กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการเร่งรัดการปราบปรามอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด โดยมีปัจจัยการเพิ่มขึ้นมี 3 ประการหลัก ได้แก่ เส้นทางการนำเข้าจากชายแดนที่ยากต่อการปฏิบัติงานของสรรพสามิตเพียงหน่วยงานเดียว ปัจจัยด้านราคาที่ถูกมาก เฉลี่ยซองละ 35-50 บาท จูงใจผู้บริโภค รวมถึงปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสารออนไลน์และขนส่ง ที่พบว่าโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยเฉพาะ LINE, Facebook, Instagram และเว็บไซต์ต่างๆ มีการทำการตลาดและโฆษณาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงกับการบริโภคบุหรี่ถูกกฎหมายทำให้มีการจัดเก็บภาษีของรัฐลดลงตามไปด้วย โดยปีงบฯ 2565 จัดเก็บได้ราว 59,784 ล้านบาท ปีงบฯ 2566 จัดเก็บได้ราว 57,682 ล้านบาท และปีงบฯ 2567 จัดเก็บได้ราว 51,247 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่องทุกปี
ดังนั้น การป้องกันและปราบปรามบุหรี่เถื่อนอย่างเข้มข้นจึงเป็นนโยบายเร่งด่วนของกรมฯ โดยในปี 2567 มีสถิติการจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดยาสูบเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 55.40 (ปีงบประมาณ 2567 จับกุม 13,170 คดี, ปีงบประมาณ 2566 จับกุม 8,475 คดี) ตรวจอายัดของกลางบุหรี่ได้ทั้งสิ้น 2,881,395 ซอง ผ่านศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ และร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทัพบก กรมการปกครอง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อสกัดกั้นการค้าบุหรี่เข้ามาแนวชายแดน
“การกระจายตัวของบุหรี่เถื่อนในปัจจุบันจะมีการลักลอบเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยงสูง เป็นอุปสรรคต่อเจ้าหน้าที่สรรพสามิต เพราะมีสภาพภูมิประเทศเอื้อต่อการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมาย ทั้งภาคตะวันออก บริเวณจังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี และตราด และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากนั้นสินค้าเหล่านี้จะกระจายตัวเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดสงขลา และกระจายสินค้าต่อผ่านระบบขนส่งต่างๆ จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการคัดกรองปิดกั้นการทำโฆษณาการตลาด และการตรวจสอบจากภาคเอกชนเพื่อสกัดกั้นการขนย้ายสินค้าบุหรี่” ว่าที่ร้อยตรี ยงยุทธ กล่าว
ขณะที่ นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล สส. ภูเก็ต พรรคประชาชน กล่าวถึงการแพร่ระบาดบุหรี่เถื่อนในจังหวัดภูเก็ตอย่างแพร่หลายว่า พบร้านค้ากระจายตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวและสถานศึกษา เปิดขายแบบไม่มีหน้าร้านจัดจำหน่าย มืดทึบ มีกระจกช่องเดียว ซึ่งจะรู้กันเองระหว่างลูกค้ากับผู้ขาย ทำให้การปราบปรามค่อนข้างยาก และเมื่อจับกุมแล้วไม่มีการสืบสาวหาต้นตอเพื่อกวาดล้างขบวนการอย่างจริงจัง
“เจ้าหน้าที่จะจับ ปรับ และปล่อยผู้ค้ารายเล็ก แต่ไม่มีการสืบต่อว่าบุหรี่เถื่อนเหล่านี้นำเข้ามาจากไหน ใครเป็นเจ้าของใหญ่ในพื้นที่ ทั้งที่จังหวัดภูเก็ตเรามีด่านตรวจก่อนเข้าเมืองอยู่แล้วตรงบริเวณสะพานสารสิน แต่ทำไมสินค้าเถื่อนเหล่านี้ยังลักลอบนำเข้ามาได้ และไม่ได้ลักลอบเข้ามาแบบเล็กน้อย แต่น่าจะเข้ามาเป็นล็อตใหญ่” นายฐิติกันต์ กล่าว
ในฐานะ สส. ภูเก็ต ได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 8 และสถานีตำรวจภูธรในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น แต่พบว่าปัญหาที่ทำให้การปราบปรามไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอเกิดจาก การทำงานในลักษณะแมวจับหนู กล่าวคือ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุมดำเนินคดี และสั่งปิดร้านค้าไป ผู้ค้าก็จะย้ายไปเปิดใหม่ในอีกแหล่งหนึ่ง หาที่เปิดใหม่ไปเรื่อย เพราะเมื่อผู้ขายมีสินค้าอยู่ในมือ ก็จะต้องหาทำเลเปิดให้ได้ นอกจากนี้ ตนเตรียมนำปัญหาดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และขณะนี้กำลังเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อยกระดับปัญหานำไปตั้งกระทู้สดถามรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม อยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาและกวดขัดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องมีการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดรายใหญ่ ที่มีคลังหรือโกดังสินค้า เพื่อตัดตอนขบวนการนำเข้าให้ได้ นอกจากนี้ กรมศุลกากรจะต้องมีความพยายามในการกวดขันเช่นกัน เพราะตำรวจจะเป็นหน่วยงานที่ทำงานเชิงรับ โดยจะต้องมีผู้มาแจ้งความจึงจะดำเนินคดีได้ แต่กรมศุลกากรซึ่งมีหน้าที่จับกุมสินค้าลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย จะต้องทำงานเชิงรุก เพื่อสกัดกั้นสินค้าเหล่านี้ก่อนเข้ามาในประเทศให้ได้